ข่าวเด่น

โคตรสยอง!! เมื่อรัสเซียทดลองให้คน “อดนอน” ผลลัพธ์ที่ได้บอกเลยว่าช็อคหนักมาก

loading...


การ “นอน” เป็นกิจกรรมสำคัญที่มนุษย์ขาดไม่ได้ แม้ว่ายามเข้าสู่ห้วงนิทราร่างกายของเราจะหยุดนิ่งทิ้งไว้เพียงลมหายใจสม่ำเสมอ แต่กระบวนการเงียบ ๆ ที่เกิดขึ้นภายในร่างกายต่างหากที่สำคัญกับการดำรงชีวิต ทั้งกระบวนการซ่อมแซมร่างกาย ระบบฮอร์โมนต่าง ๆ ตลอดจนการจัดระเบียบเรื่องต่าง ๆ ในสมอง ทำให้เมื่อได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ เราจึงตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น และรู้สึกมึนงงอ่อนเพลียเมื่อนอนไม่พอ แล้วถ้าเราไม่ได้นอนเลยล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น ? คุณเองก็อยากรู้ใช่ไหม งั้นไปติดตามข้อมูลที่เรานำมาฝากจาก moviepilot และ creepypasta.wikia ไปพร้อม ๆ กันเลย ใน “เปิดบันทึกสุดโหด การทดลองอดนอนของรัสเซีย” ซึ่งยังคงเป็นที่สงสัยอยู่ว่า นี่เป็นการทดลองโหดที่เกิดขึ้นจริง หรือเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมากันแน่..
ย้อนกลับในช่วงปลายของยุค 1940 รัสเซียได้ทำการทดลองที่เรียกว่า Sleep Experiment หรือ “การทดลองอดนอน” ขึ้นมา กองทัพจับมือกับกลุ่มนักวิจัยผู้ต่างกระหายใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์หากว่าไม่ได้นอนเลย ไม่ใช่เพียงแค่คืนสองคืนติดต่อกัน แต่เป็นการอดนอนให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้
เหยื่อผู้เข้าร่วมการทดลองในครั้งนี้มี 5 รายด้วยกัน ทั้งหมดเป็นนักโทษการเมืองจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทุกคนล้วนเต็มใจและยินดีที่จะมาเป็นหนูทดลอง ด้วยเชื่อในคำชักชวนที่ว่า หากอดนอนได้ครบ 30 วันแล้วพวกเขาก็จะได้รับอิสระ คนเหล่านี้ถูกนำตัวไปไว้ในห้องทดลองที่ปิดมิดชิด มีอาหารทิ้งไว้ให้จำนวนมากพอที่จะอยู่กินได้ทั้งเดือน มีหนังสือกองโต มีห้องน้ำ มีส่วนที่นั่งพักเล็ก ๆ ที่ไร้ซึ่งเตียงนอน ห้องนี้ยังมีไมโครโฟนและรูตรงผนังซึ่งที่กรุกระจกที่มองทะลุได้จากด้านเดียวติดตั้งอยู่ เพื่อเป็นจุดสอดส่องดูความเป็นอยู่ภายใน นอกจากนี้ยังมีตัวตรวจวัดการใช้ออกซิเจนภายในห้อง และท่อปล่อยแก๊สที่มีฤทธิ์กระตุ้นให้คนที่หายใจเอามันเข้าไปตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา..
15 วันหฤโหด
loading...


5 วันแรก ทุกอย่างยังราบรื่นดี ต่างคนยังพูดคุยกันเหมือนคนปกติ แต่ช่วงวันหลัง ๆ พวกเขาก็เริ่มคุยกันเรื่องความเจ็บปวดที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
วันที่ 6 เป็น ต้นไป ทั้งหมดเริ่มออกอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ต่างคนต่างเลิกพูดคุยกัน แล้วหันหน้าพูดงึมงัมคนเดียวใส่ไมโครโฟน นักวิจัยคิดว่าสิ่งเหล่านี้อาจเป็นผลข้างเคียงจากแก๊สที่ผสมไปในอากาศ
วันที่ 9 ผู้ ทดลองหนึ่งในห้าจู่ ๆ ก็กรีดร้องออกมา เขาเดินเหมือนหนูติดจั่นสลับตะเบ็งเสียงกรีดร้องสุดแรงปอดอยู่กว่า 3 ชั่วโมง จนสุดท้ายแม้จะอ้าปากแล้วแต่ก็ไร้เสียงใด ๆ เล็ดลอดออกมา คาดว่าอาจจะคอแตกเส้นเสียงขาดไปแล้ว ทว่าที่น่าแปลกคืออีก 4 คนที่เหลือไม่ได้มีทีท่าแยแสกับสิ่งที่เพื่อนร่วมห้องของตนเป็นเลยแม้แต่ น้อย ยังหันหลังให้แก่กันแล้วเอาแต่ทำเสียงงึมงัมใส่ไมค์ แล้วจู่ ๆ ผู้ทดลองอีกรายก็หวีดร้องขึ้นมาอีก แล้วยังมีอีกสองคนหันไปฉีกหน้าสมุดออกจากหนังสืออย่างเอาเป็นเอาตาย นำหน้ากระดาษนั้นละเลงกับอุจจาระของตัวเอง แล้วปะไปบนรูกระจกถ้ำมองในห้องจนหมด จนเมื่อปิดช่องแอบดูได้สนิท เสียงหวีดร้องก็เงียบลง เช่นเดียวกับเสียงงึมงัมใส่ไมค์ก็หายไปด้วยเช่นกัน

วันที่ 12 ไร้ ซึ่งเสียงหวีดร้องหรือเสียงงึมงัมใด ๆ อีกตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นักวิจัยคอยเช็กไมค์ทุก ๆ ชั่วโมง เพื่อให้แน่ใจว่ามันยังไม่เสีย ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะไม่ได้ยินเสียงอะไรดังมาจากในห้องเลย ทั้ง ๆ ที่คนข้างในน่าจะยังมีชีวิตอยู่ เพราะปริมาณออกซิเจนที่พร่องไปบ่งว่ายังมีการหายใจเอามันไปใช้ แถมมันยังพร่องลงไปในปริมาณมากเท่า ๆ กับที่คนออกกำลังกายใช้หายใจเลยด้วยซ้ำ
วันที่ 14 ใน ที่สุดเหล่านักวิจัยก็ตัดสินใจว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ความกังวลว่าพวกที่อยู่ข้างในอาจตายหรือกลายเป็นสมองพิการนอนแน่นิ่งหายใจ ทิ้งไปเฉย ๆ มีมากขึ้น พวกเขาได้ส่งเสียงประกาศผ่านไมค์เข้าไปด้านใน
“เรา จะเปิดห้องเพื่อตรวจเช็กไมโครโฟน ถอยห่างจากประตูแล้วหมอบลงซะ ไม่งั้นเรายิงแน่ ถ้าเชื่อฟังเราจะปล่อยพวกคุณหนึ่งคนให้เป็นอิสระ”
ทว่าปฏิกิริยาตอบรับกลับเป็นเสียงนิ่ง ๆ เสียงหนึ่งตอบกลับมาว่า “เราไม่ต้องการอิสระอีกแล้ว”
ด้วยความตะลึงงันกับสิ่งที่ได้ยิน เหล่านักวิจัยหารือกันว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปดี สุดท้ายก็ยังไม่ได้เปิดห้องทดลองออกดูในวันนี้ แต่รอไปจนอีกวันรุ่งขึ้น
วันที่ 15 ใน ที่สุดนักวิจัยก็ตัดสินใจเปิดห้องทดลองออก หลังการทดลองอดนอนล่วงไปแล้วครึ่งเดือนเต็ม ๆ ตัวปล่อยแก๊สกระตุ้นถูกปิด ประตูเปิดอ้าออกพร้อม ๆ กับอากาศภายนอกที่ไหลเวียนเข้าไป ทันใดนั้นเสียงจากไมโครโฟนก็กลับดังขึ้นมาใหม่ทันที เป็นเสียงผู้ถูกทดลอง 3 คน ร้องขออ้อนวอนอย่างเสียสติขอให้เปิดแก๊สกระตุ้นเดี๋ยวนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารเดินเข้าไปในห้อง เสียงกรีดร้องโหยหวนดังชัดเจนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา และสิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาคนนอกที่ได้ย่างกรายเข้าไปในห้องอดนอนคือ..


ผู้ทดลองยังคงรอดอยู่ทุกราย แต่สภาพที่เห็นนั้นเรียกได้ว่าช่างห่างไกลกับการที่จะพูดว่าคนเหล่านี้ “ยังมีชีวิตอยู่” กอง อาหารไม่พร่องลงไปนักนับจากวันที่ 5 ของการทดลอง สภาพร่างกายแต่ละรายดูแทบไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ทั้งผิวหนังและเนื้อขาดแหว่งวิ่นไปทั่วร่าง หน้าท้องฉีกขาด เครื่องในถูกล้วงออกมากองกับพื้น สภาพเหมือนเพิ่งหลุดออกมาจากตัวใหม่ ๆ ลำไส้ยังขยักขย่อนทำงาน ย่อยสิ่งที่อยู่ข้างในซึ่งพบภายหลังว่าเป็นเนื้อของเจ้าตัว เหลือแต่เพียงปอด หัวใจ และกระบังลมที่อยู่ในช่องอก บางส่วนกองตันอยู่ที่ทางระบายน้ำ จนน้ำผสมเลือดข้นคลั่กขังเป็นแอ่ง แผลฉกรรจ์เหล่านี้ดูคล้ายจะเกิดขึ้นจากน้ำมือของเจ้าตัวเอง ดูจากเนื้อหนังหุ้มปลายนิ้วที่แหว่งหายจนกระดูกโผล่ แสดงถึงการใช้มือขุดล้วงชำแหละตัวเอง
เจ้าหน้าที่ทหารพยายามเข้าประชิดเพื่อนำตัวออกมาจากห้อง แต่แล้วจู่ ๆ ร่างที่ไม่ต่างจากศพก็เกิดคลุ้มคลั่งอาละวาดยกใหญ่ ร้องขอแก๊สกระตุ้นกลับมา และจู่โจมทหารที่เข้ามาจับตายไปสองรายด้วยมือเปล่า..
จุดจบของผู้อดนอน

หลัง ถูกนำตัวออกมาจากห้องได้อย่างทุลักทุเล ทั้ง 5 ยังคงร้องโหยหวนขอกลับไปดมแก๊สกระตุ้นดังเดิม ส่วนแพทย์ได้พยายามผ่าตัดรักษาบาดแผลที่สาหัสสากรรจ์ นำเครื่องในใส่กลับเข้าไปในร่าง ทว่าสิ่งที่ได้พบคือร่างกายแต่ละคนต้านยาสลบได้อย่างน่าประหลาด จนต้องอัดยาในปริมาณที่สูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่าจึงพอทำให้สงบลงบ้าง แต่กระนั้นก็ยังมีรายที่อาละวาดบนเตียงผ่าตัดจนทำร้ายหมอบาดเจ็บถึงขั้น กระดูกหัก ในที่สุด 2 ใน 5 ของเหยื่อผู้ทดลองเสียชีวิตจากพิษบาดแผลของตัวเอง
อีก 3 รายที่เหลือดิ้นรนอ้อนวอนที่จะไม่ถูกทำให้สลบระหว่างการผ่าตัด ยินดีให้หมอลงมีดลงเข็มได้สด ๆ ไม่ต้องอาศัยยาบรรเทาความเจ็บปวดใด ๆ แต่ระหว่างนี้มีรายหนึ่งเสียชีวิตไประหว่างผ่าตัด หลังอาละวาดหนักทั้งที่ถูกมัดอยู่บนเตียงจนทำตัวเองกระดูกหักไป 9 ซี่
รายที่ 4 ซึ่งเป็นคนที่กรีดร้องโหยหวนในห้องขัง แพทย์พบว่าเส้นเสียงถูกทำลายอย่างสาหัสจึงไม่สามารถส่งเสียงใด ๆ ได้อีก แต่กระนั้นก็ยังแสยะยิ้มอย่างยินดีทุกครั้งที่หมอลงมีดผ่าบนร่างกาย ทั้งยังแสดงอาการไม่พอใจเมื่อการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง ส่งสัญญาณบอกว่าให้ “ผ่าต่อไปเรื่อย ๆ”
ส่วนรายสุดท้ายที่รับการผ่าตัดสด ก็ไม่วายอ้อนวอนร้องขอแก๊สกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา เมื่อถูกถามว่าทำไมจึงอยากได้มันนัก คำตอบเดียวที่ได้รับกลับมาคือ เขาต้องการตื่นอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ได้บอกว่าทำไมจึงไม่อยากเข้าสู่ห้วงนิทรา
การ ทดลองที่เลยเถิดมาไกลจนถึงจุดนี้สร้างความสลดหดหู่ให้แก่นักวิจัยทุกคน ต่างคนเห็นพ้องว่าควรจะหยุดการทดลองคลั่งลงได้แล้ว ทว่าความกระหายใคร่รู้อย่างไร้ขีดจำกัดของกองทัพรัสเซีย ออกคำสั่งให้เดินหน้าการทดลองต่อไป ต้องส่งตัวผู้รอดที่ยังเหลืออยู่ 2 คนนี้กลับเข้าไปในห้องทดลองอีกครั้ง ท่ามกลางความยินดีของผู้รอดทั้งคู่ที่จะได้กับไปสูดแก๊สกระตุ้นดังเดิม
ในระหว่างเตรียมนำตัวส่งห้องทดลองอีกรอบก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เมื่อผู้รอดตายรายหนึ่งก็ไปไม่ทันได้ดมแก๊สกระตุ้น เกิดหงอยหลับและเสียชีวิตไปในสภาพนั้น ทั้ง ๆ ที่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้ายังดูตื่นตัวดีอยู่แท้ ๆ การจากไปของเพื่อนร่วมชะตากรรมทำให้ผู้ทดลองเพียงหนึ่งเดียวที่เหลือรอด คลุ้มคลั่งขึ้นมาทันที พุ่งเข้าแย่งปืนจากเจ้าหน้าที่พร้อมยิงแสกหน้านักวิจัยตายไป 2 คน ก่อนออกคำสั่งให้เปิดแก๊สกระตุ้นและนำเขาเข้าห้องทดลองเดี๋ยวนี้ แต่ก็ไม่พ้นถูกเจ้าหน้าที่ที่เหลือตะครุบตัวไว้ได้
ใน นาทีที่บรรยากาศกรุ่นด้วยความบ้าคลั่งและตึงเครียดถึงขีดสุด สิ่งที่นักวิจัยเผชิญอยู่ตรงหน้านั้นเหมือนจะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป มันไม่เหมือนกับคนที่พวกตนได้จับใส่ไปในห้องทดลองเมื่อครึ่งเดือนก่อนเลย จนนักวิจัยกลั้นความตื่นกลัวปริปากถาม “แกมันตัวอะไรกันแน่ เราต้องรู้ให้ได้” และคำตอบที่ได้รับก็คือ..
“ทำไมเจ้าลืมกันไวจัง เราก็คือพวกเจ้านั่นแหละ เราคือความคลั่งที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน ดิ้นรนที่จะเป็นอิสระอยู่ท่ามกลางสัญชาตญาณดิบที่ลึกที่สุด เราก็คือสิ่งที่พวกเจ้าหลีกหลบหนีไปบนเตียงในทุกค่ำคืน เราคือสิ่งที่พวกเจ้าสะกดให้นิ่งงันและกดเราไว้ยามที่เจ้าหลับใหล ที่ซึ่งเราไม่อาจเข้าถึงได้”
ได้ ฟังจบนักวิจัยที่เอ่ยปากถามผงะถอยไปนิดหนึ่ง ก่อนตัดสินใจเหนี่ยวไกยิงออกไป กระสุนพุ่งเจาะเข้าที่หัวใจของผู้รอดรายสุดท้ายอย่างแม่นยำ ร่างนั้นพยายามหายใจด้วยกายสั่นเทิ้ม แล้วหลุดประโยคสุดท้ายออกมาว่า “กำลังจะเป็นอิสระ…” และแน่นิ่งไปในที่สุด
ข้อมูลจาก : gooza.com/27309
loading...

About doodee

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.